ชั้นเรียนระดับอนุบาลของโรงเรียนทอสี จัดให้มีนักเรียน 25 คนต่อคุณครูประจำชั้น 2 คน เพื่อคุณครูในแต่ละห้องจะได้ดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง
ทุกๆ เช้า คุณครูชั้นอนุบาลจะจัดตารางกิจกรรม และแจ้งวิถีชีวิตประจำวันให้นักเรียนในห้องได้รู้คร่าวๆ เพื่อให้เด็กๆ เตรียมพร้อมก่อนเริ่มวัน โดยกิจกรรมตลอดวันจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วงหลัก ได้แก่ กิจกรรม ทอจิตเจริญสติ กิจกรรมฝึกสมาธิประจำวัน เช่น การจัดดอกไม้ สวดมนต์ หรือนั่งสมาธิสั้นๆ เพื่อเสริมความพร้อมด้านจิตใจ ทอปัญญาโลกน่ามหัศจรรย์ การออกไปทำกิจกรรมเรียนรู้โลกนอกห้องเรียน รวมทั้งการทำกิจกรรมตามหลักสูตรเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ซึ่งเน้นให้เด็กๆ ได้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างชีวิตกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทอสมองคล่องคิด การเรียนวิชาอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับช่วงวัย เช่น ภาษาอังกฤษ ร้องเพลง กิจกรรมเคลื่อนไหว และการอ่านหนังสือ และ ทอจิตคิดประมวล หรือ กิจกรรมวงกลม ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเช้าเพื่อพูดคุยก่อนเริ่มเรียน และตอนเย็น สรุปการเรียนรู้หลังเลิกเรียนเพื่อเด็กๆ จะได้เตรียมพร้อมสำหรับวันต่อไป
นอกจากการเรียนวิชาต่างๆ ตามหลักสูตรทั่วไปอย่างการหัดอ่านเขียนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ดนตรี พละแล้ว โรงเรียนทอสียังมี หลักสูตรเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ซึ่งเป็นวิชาบูรณาการที่ใช้ชีวิตเป็นตัวตั้ง ผนวกเอาวิชาการและวิชาชีวิต ได้แก่หลักการคิด อ่าน เขียน และการส่งเสริมทักษะตามวัยมาพัฒนาเป็นกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกห้องเรียน แล้วเชื่อมโยงเข้าสู่การกิน อยู่ เล่น เรียน โดยมีเป้าหมายให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และทำความรู้จักกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า พ่อแม่ คุณครู เพื่อนๆ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ แล้วเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นมาสู่ตนเอง เด็กๆ จึงได้เห็นความสัมพันธ์ของตัวเองกับสิ่งแวดล้อม และเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมเล็กๆ นี้อย่างเป็นกัลยาณมิตร ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดในวิชาเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวระดับชั้นอนุบาลจะมีความต่อเนื่องกันตั้งแต่อนุบาลหนึ่งจนถึงอนุบาลสาม
อนุบาล 1 เป็นช่วงวัยที่เด็กๆ ได้ก้าวออกจากบ้านที่คุ้นเคยมาเริ่มต้นใช้ชีวิตในโรงเรียน ซึ่งถือเป็นบ้านหลังที่สองของพวกเขา เด็กๆ จึงต้องพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็ง เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองให้ได้ในยามที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วย และฝึกที่จะอยู่ร่วมกับครูและเพื่อนๆ คนอื่นในชั้นเรียนให้เป็น
บทเรียนนี้จึงเน้นไปที่การเรียนรู้วิถีชีวิตประจำวันของตนเอง การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการปฏิบัติตามกติกาสังคม เพื่อให้เด็กๆ เกิดความศรัทธาในตัวครูและโรงเรียน จนพัฒนาไปสู่ความศรัทธาต่อตนเอง ในที่สุดพวกเขาจะสามารถดำเนินชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้ และปฏิบัติตามกฎกติกาในสังคมได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้น้องๆ ชั้นอนุบาล 1 จะได้ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายและการพัฒนากล้ามเนื้อทั้งใหญ่และเล็ก รวมทั้งประสาทสัมผัสทั้ง 5 เพื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปด้วย
ธรรมชาติเป็นสิ่งใกล้ตัว และเป็นสิ่งที่เด็กๆ พบเจอในชีวิตประจำวันทุกวัน การพาพวกเขาไปรู้ถึงคุณค่าของธรรมชาติที่มีต่อตัวเขาและมนุษย์ทุกคนบนโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อพวกเขาได้เห็นความสำคัญของธรรมชาติตั้งแต่ยังเล็ก เด็กๆ จะมีจิตใจอ่อนโยน และมีความอ่อนน้อมต่อสรรพสิ่งรอบตัวมากขึ้น
ในเทอมนี้เด็กๆ จะได้เรียนรู้กระบวนการเจริญเติบโตของพืช และผลผลิตจากธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา รวมไปถึงประโยชน์ของดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาได้เล่น ได้สัมผัสอยู่ทุกวัน ทำให้พวกเขาได้รู้จักการเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับที่ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน
อนุบาล 2 เป็นช่วงวัยที่เด็กๆ เริ่มมีสังคม และเริ่มเล่นกับเพื่อนๆ เป็นกลุ่มมากขึ้น ช่วงวัยนี้จึงเหมาะให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องความเหมือน ความต่าง และรู้จักสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาอาศัย พวกเขาจะได้รู้สึกดีต่อทั้งตนเองและผู้อื่น จนสามารถยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข
ในเทอมแรก เด็กๆ จะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันผ่านเรื่องราวของต้นไม้ที่แบ่งตามลักษณะสังคม 6 ประเภท คือ ไม้ยืนต้น ไม้เลื้อย ไม้คลุมดิน ไม้อิงอาศัย ไม้กาฝาก และไม้น้ำ พวกเขาจะได้เห็นความสัมพันธ์ของธรรมชาติที่มีผลต่อกันและกัน แล้วเชื่อมโยงมาสู่ตนเองที่ต้องสัมพันธ์กับสังคมรอบตัวที่มีความหลากหลายเช่นกัน
เด็กๆ ในวัยนี้เริ่มมีความสนใจสิ่งมีชีวิตรอบตัวมากขึ้น พวกเขาจะเริ่มให้ความสำคัญกับเพื่อนสัตว์อื่นๆ เช่น มด แมลงที่พบเจอได้บ่อยๆ ในสนามเด็กเล่นที่โรงเรียน เพื่อนๆ ตัวน้อยเหล่านี้จึงกลายเป็นบทเรียนให้พวกเขาได้เรียนรู้กายภาพของสิ่งมีชีวิต และคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคม
ช่วงเทอมสองเด็กๆ จะได้สำรวจโครงสร้างทางกายภาพและชีวภาพของสิ่งมีชีวิตที่พวกเขามักเจออยู่บ่อยๆ อย่างสัตว์และแมลง โดยมีตัวละครสำคัญคือ มด เพื่อนตัวน้อย ซึ่งแต่ละตัวล้วนมีหน้าที่ของตนเอง แต่เมื่ออยู่ร่วมกันพวกมันยังมีวินัยสร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้แม้มีกำลังน้อยนิด ทำให้เด็กๆ เริ่มเห็นว่าตัวเขาเองก็มีความสำคัญในสังคมเช่นกัน และการจะอยู่ร่วมกันได้ ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองและทำหน้าที่เพื่อผู้อื่นอย่างไร ถึงจะขับเคลื่อนสังคมให้ดีได้ดังเช่นสังคมของเหล่ามด
เด็กๆ วัยนี้จะเริ่มเกิดความอยากได้อยากมีตามเพื่อน เกิดความรู้สึกอยากเป็นที่ยอมรับของสังคม บทเรียนในเทอมนี้จึงเป็นการพาพวกเขาย้อนกลับมารู้จักกับปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริงๆ นั่นคือปัจจัย 4 อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานในชีวิตที่อยู่ใกล้ตัวเด็กๆ ทุกคน
ดังนั้นพวกเขาจึงควรเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าปัจจัยเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่จำเป็นและมีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิต เพื่อต่อไปพวกเขาจะได้รู้จักลดการบริโภค และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดความอยาก ความต้องการที่เกินพอดีไป จนเกิดความเข้าใจที่อยากจะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ และรู้จักสร้างความสุขจากสิ่งง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน
ในเทอมนี้เด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องการกินอยู่อย่างถูกสุขลักษณะ ทั้งการดูแลตัวเอง ดูแลข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน การออกกำลังกายให้ตนเองมีสุขภาพแข็งแรง และการเรียนรู้กระบวนการทำอาหารตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตไปจนถึงการแปรรูป เพื่อพวกเขาจะได้เข้าใจถึงคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม จนสามารถลดการเสพ การบริโภคสิ่งที่ไม่จำเป็น และพวกเขายังต้องเรียนรู้การเป็นผู้ให้กลับคืนสู่โลก ผ่านหลัก 5 R ได้แก่ Reduce, Reject, Repair, Reuse และ Recycle ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยการสร้างสุขภายในแบบง่ายๆ จากชีวิตประจำวัน
เทอมสุดท้ายของชั้นอนุบาล เด็กๆ จะได้รู้จักการเป็นผู้สร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผ่านการฝึกฝนและเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นการฝึกฝนทักษะของการเป็นนักศึกษาตลอดชีวิตเมื่อพวกเขาโตขึ้น
ในเทอมนี้เด็กๆ จะได้เรียนเรื่องที่สนใจผ่าน ‘โครงการ’ สร้างคุณลักษณะของการเป็นผู้รู้จักแสวงหาความรู้ เป็นนักวิเคราะห์ นักสืบค้น และลองร่วมเรียนรู้ไปกับเพื่อนๆ ร่วมชั้น
กิจกรรมทัศนศึกษาสำหรับเด็กๆ อนุบาล จะเริ่มมีตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 ขึ้นไป โดยสถานที่ที่ไปจะต้องใช้เวลาเดินทางไม่นานจนเกินไปนัก และมีกิจกรรมสอดคล้องกับบทเรียนในแต่ละเทอมของวิชาเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เช่น เด็กๆ ชั้นอนุบาล 3 ที่กำลังเรียนเรื่องปัจจัย 4 จะได้ไปเรียนรู้ปัจจัยการดำรงชีวิตของพระสงฆ์ ที่วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าพระสงฆ์มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ต่างจากการใช้ชีวิตของพวกเขาแค่ไหน มีสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตเหมือนพวกเขาหรือไม่ พระต้องฉันอะไรบ้าง ในการตักบาตรครั้งต่อไป เด็กๆ จึงสามารถเลือกของดีมีประโยชน์สำหรับใส่บาตรได้
เนื่องจากช่วงอนุบาลเป็นวัยที่เด็กๆ จำเป็นต้องพัฒนากล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ให้แข็งแรง เพื่อพวกเขาจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ เด็กๆ ชั้นอนุบาลจึงได้เรียนโยคะเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก และทำ กิจกรรม Sensory ซึ่งถือเป็นหนึ่งศาสตร์สำคัญที่โรงเรียนนำมาประยุกต์ แยกออกมาจากวิชาพละศึกษาของเด็กๆ ที่โดยมากเน้นการเล่นกีฬาเพื่อพัฒนาระบบกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก แต่กิจกรรม Sensory จะเป็นการขยับเขยื้อนง่ายๆ เพื่อพัฒนาระบบประสาทในร่างกาย ผ่านการเดิน วิ่ง ทรงตัว เล่นกับธรรมชาติ ไปจนถึงการหยิบจับไม้กวาดเพื่อทำความสะอาดห้องเรียน ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เด็กๆ ในเมืองส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ทำมากนัก
เมื่อเด็กๆ มีระบบประสาทที่ดีและแข็งแรง การเรียนรู้ของพวกเขาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เด็กๆ จะสามารถบังคับร่างกายให้นั่งเรียนได้นานขึ้น ในขณะเดียวกันระบบสมองก็จะค่อยๆ ถูกพัฒนา พวกเขาจึงมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดีกว่าเด็กในวัยเดียวกัน และกิจกรรมนี้ยังทำให้เด็กๆ ไวต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว พวกเขาจึงมีความกระฉับกระเฉง สามารถหยิบจับสิ่งของได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
นอกจากนี้เด็กๆ ชั้นอนุบาลจะได้เรียนรู้เรื่อง 5 งานหลัก ผ่านการทำกิจวัตรต่างๆ ตลอดทั้งวัน ได้แก่ การทำงานบ้าน งานสวน การวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ การคิดอ่านเขียนผ่านกิจกรรมในและนอกห้องเรียน และการฝึกตนเป็นผู้มีจิตอาสา นอกจากนี้พวกเขายังได้เรียน วิชาศิลปะ ผ่านการร้อง-เต้นเพลงเสริมสร้างพัฒนาการ การหัดวาด เขียน จดบันทึกยามคุณครูพาไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ดูนก สังเกตแมลง หรือสำรวจต้นไม้รอบโรงเรียนด้วย